เทศน์บนศาลา

กิเลสเป็นหนอน

๒๓ มิ.ย. ๒๕๕๖

 

กิเลสเป็นหนอน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! เราตั้งใจฟังธรรม เราแสวงหาธรรม แสวงหาของดีนะ แสวงหาสิ่งที่โลกเขาไม่เข้าใจ โลกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราแสวงหากัน โลกเขาแสวงหาสิ่งที่โลกพิสูจน์ได้ โลกเข้าใจได้ ถ้าโลกเข้าใจได้ มันก็จะเวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะนี้ เราเกิดมาในวัฏฏะนี้เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมากับโลกนี้แหละ แต่เราเกิดมาด้วยศักยภาพของความเป็นมนุษย์ เรามีอำนาจวาสนา เราถึงเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติกัน

การประพฤติปฏิบัติคือการใช้จิตประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติคือใช้จิตแสวงหาสิ่งที่เป็นความจริง ทั้งๆ ที่ว่ามันมีจิตอยู่ใช่ไหม เพราะปฏิสนธิจิตเกิดมาจากเรา แต่เวลาเราจะปฏิบัติ เราจะปฏิบัติด้วยจิตของเรา เราจะปฏิบัติด้วยสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นสัจจะความจริง แต่โลก โลกเขาแสวงหากัน โลกเขาทำกัน สิ่งที่เขาพิสูจน์ได้มันก็เป็นเรื่องทางโลกทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น เราแสวงหาสิ่งที่โลกเขาไม่เข้าใจ เราแสวงหาสิ่งที่เหนือโลก สิ่งที่จะพ้นไปจากวัฏฏะ สิ่งที่พ้นไปจากวัฏฏะ แล้วไม่ใช้ไปพ้นจากวัฏฏะที่ไหน พ้นจากวัฏฏะที่ในหัวใจของเรานี่แหละ พ้นจากวัฏฏะในจิตของเรานี่แหละ จิตของเรา ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดตามแต่อำนาจของกรรม การเวียนว่ายตายเกิด เราเกิดมาในภพปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ จะเกิดสูงเกิดต่ำ เกิดครอบครัวใดก็แล้วแต่ การเกิดคือจิตของเราเกิด

จิตของเราจะเกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากใครก็แล้วแต่ นั้นเป็นผลของเวรของกรรม แต่ขณะที่ผลของเวรของกรรมนั้นเป็นผล ทางโลกพิสูจน์กันได้ไง กรรมพันธุ์ๆ พิสูจน์กันได้ พิสูจน์ว่ามนุษย์เกิดมาจากไหน อพยพย้ายถิ่นมาอย่างใด นั้นก็พิสูจน์ด้วยดีเอ็นเอ แต่เวลาถ้าเป็นเรื่องของจิตล่ะ เรื่องของความรู้สึกนึกคิดล่ะ

เรื่องความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม เวลาสุขเวลาทุกข์ เกิดสุขทุกข์ที่นี่ ศาสนาสอนที่นี่ เราแสวงหาสิ่งนี้กัน ถ้าแสวงหาสิ่งนี้ เราต้องตั้งเจตนาของเราให้ดี แล้วเราแสวงหาด้วยจิตใจที่เป็นธรรม จิตใจที่เป็นธรรมนะ ไม่เดือดร้อน ไม่ดิ้นรน ไม่ทำอะไรสิ่งที่เป็นความกระวนกระวายจนเกินไป เราวางใจของเราให้เป็นปกติ เราวางใจให้เป็นปกติ เห็นไหม ถ้าคนมีอำนาจวาสนา เราได้ศึกษามา เราได้ประพฤติปฏิบัติมา เราอยู่ในสังคมของผู้ที่ปฏิบัติด้วยกัน เราจะนิ่งไง ถ้าเราจะนิ่งของเราแล้ว นิ่งขึ้นมาแล้วเราก็ต้องแสวงหาตามความเป็นจริงของเราขึ้นมาจากภายใน

ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาได้นะ ใจมันจะสงบระงับเข้ามา ถ้าใจสงบระงับเข้ามา เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของใจเราเอง ใจของเราเองมันมีพัฒนาการของมัน พัฒนาการของมัน พัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของเรานะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าแสวงหาสิ่งนี้ สิ่งนี้ เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ การแสวงหาของท่านไม่มีใครสั่งใครสอน มีคนสอน สอนแต่เรื่องผิดๆ แต่เวลาท่านแสวงหาของท่าน แสวงหาความจริง แล้วคนที่สอนเรื่องสัจธรรมเรื่องความเป็นจริงมันไม่มี มันไม่มี ถ้ามันมีอยู่แล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องรู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพิสูจน์ได้ นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเขานี่มันไม่มี พอมันไม่มีขึ้นมา ต่างคนต่างดิ้นรนกันไป ต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติกันไป ต่างคนต่างเข้าใจว่าตัวเองเป็นผล ตัวเองเป็นศาสดา ตัวเองสั่งสอนไป แต่มันเหมือนกับการปิดบังตัวเองไว้ไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลารื้อค้น รื้อค้นใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม มันไม่ปิดบัง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันตรัสรู้เองโดยชอบ มันสว่างกระจ่างแจ้งไง มันสว่างกระจ่างแจ้งเพราะมันไม่มีที่เร้นลับ มันไม่มีสิ่งใดแอบซ่อนอยู่ในใจ อย่างนี้ถึงเป็นการตรัสรู้ธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นการพิสูจน์กัน

แต่เวลาที่ศึกษามาๆ ก่อนศึกษามา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ขึ้นมา ก็รับไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นมามาก แล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ไง

ฉะนั้น เราเกิดมาเราถึงมีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาว่าสิ่งนี้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกชี้เป็นเครื่องหมายบอก เป็นทางชี้นำให้เรา แต่การชี้นำนั้น เราจะไปหยิบฉวยเอามาว่าเป็นความจริงของเรา ยังเป็นไปไม่ได้ เราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา มันถึงเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราจะทำ ทำที่ไหน? เราจะต้องทำในหัวใจของเรา ถ้าทำในหัวใจของเรา เราถึงแสวงหาสิ่งที่โลกเขาเข้าใจไม่ได้

โลกเขาเข้าใจไม่ได้แล้วก็ทำกันนะ แล้วในการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้ ในเมื่อวงการปฏิบัติมันกำลังเจริญรุ่งเรืองใช่ไหม เพราะอะไร เพราะเรามีครูมีอาจารย์ไง ครูบาอาจารย์ของเราทำเป็นความจริงขึ้นมา มันมีผลตามความเป็นจริง อันนั้นก็เป็นเรื่องจริง แต่นี้เวลาปฏิบัติขึ้นมามันไม่เป็นความจริงขึ้นมา นี่ผลที่เขาปฏิบัติกัน เขาปฏิบัติเป็นโลกไง

คำว่า “ปฏิบัติเป็นโลก” เขาปฏิบัติของเขา ทำของเขา แต่มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาหรอก มันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ แล้วเขาทำกันทำไมล่ะ เขาทำกันไปตามกระแสสังคม เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า ปฏิบัติพอเป็นพิธีๆ เพราะว่าการปฏิบัติมันก็ต้องมีพิธีใช่ไหม มันต้องการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มันก็มีการกระทำเหมือนกัน เขาก็ทำรูปแบบให้เหมือนกัน แล้วว่านี่เป็นการปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างนั้นปฏิบัติพอเป็นพิธีไง

แต่ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ ปฏิบัติเป็นจริง ถ้ามันสงบ มันก็สงบเข้ามาจริงๆ ถ้าเกิดปัญญา ปัญญาจริงๆ มันจะรู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริงไปของมัน เหมือนกับทางโลกเขา ทางโลกเขานะ เวลาเขาว่าเกลือเป็นหนอน เกลือเป็นหนอนนี่ ถ้ามันเป็นเกลือ เกลือเขาไว้ถนอมอาหาร สมัยโบราณนะ เกลือนี้เป็นยุทธปัจจัยนะ เขาแสวงหาสิ่งนี้มา เกลือนี้มีประโยชน์มหาศาลเลย

ฉะนั้น เกลือมันเป็นหนอนได้ไหม? เกลือมันเป็นหนอนไม่ได้หรอก แต่ความเป็นจริงเกลือมันจะแปรเป็นหนอนไม่ได้ แต่มันเป็นสุภาษิต สุภาษิตว่า ถ้าคนในกลุ่มชนใด ในสังคมใด ถ้าเขาเป็นกลุ่มเป็นชุมชนด้วยกัน แล้วเขาทรยศหักหลังกัน เขาเรียกว่าเกลือเป็นหนอน ถ้าเกลือเป็นหนอนนะ เขาไว้ใจตัวเอง เขาไว้ใจพวกเรา เขาไว้ใจในชุมชนนั้น แล้วชุมชนนั้นหักหลังเขา เอาเรื่องของภายในไปบอกภายนอก เป็นไส้ศึกให้คนเขามาทำลาย ทำลายสังคมสังคมนั้น เขาว่าเกลือเป็นหนอน มันทำลายนะ มันไม่เป็นประโยชน์กับสิ่งใดเลย นี่พูดถึงทางโลกนะ เป็นสุภาษิต ว่าเกลือเป็นหนอนๆ เกลือเป็นหนอนคือการบ่อนทำลาย เกลือเป็นหนอนคือการทำลายตัวมัน สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สร้างแต่ความเสียหาย ไม่มีสิ่งใดจะเป็นความดีงามขึ้นมาเลย นี่ไง เกลือเป็นหนอน

สังคมเขาต้องการความจริง สังคมต้องการคุณธรรม สังคมเขาต้องการศีล มีศีลคือความซื่อสัตย์ต่อกัน เขาต้องการสุภาพบุรุษ เขาต้องการเสียสละ ต้องการการจาคะ การดูแลกัน ถ้าคนมีคุณธรรม สังคมนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข แต่นี้มันมีกิเลสไง เวลากิเลส กิเลสมันครอบงำหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นโดนกิเลสครองงำ อยากได้ผลประโยชน์ อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ นี่ทำตัวเอง เกลือเป็นหนอน ทำลายหมดเลย ทำลายชุมชนนั้น ทำลายวงศ์ตระกูลนั้น ทำลายเพราะคิดว่าเห็นเป็นประโยชน์กับตัวไง เห็นเป็นประโยชน์กับตัว นี่มันเป็นสุภาษิตว่าเกลือเป็นหนอนๆ มันทำลายไปทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น เราเวลาปฏิบัติ ถ้ามันเป็นความจริงนะ เราปฏิบัติธรรม เราพยายามจะต่อสู้กับใจของเรา เราจะทำชำระล้างกิเลสของเรา แล้วถ้ากิเลสมันเป็นหนอนน่ะ

ถ้ากิเลสเป็นหนอน เรามีกิเลสอยู่แล้วใช่ไหม ที่เรามานี่ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ชี้ว่าสิ่งนั้นเป็นกิเลส สิ่งที่เป็นเราๆ นี่เป็นกิเลสอยู่ในหัวใจของเรา มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วถ้าเป็นธรรมๆ ล่ะ เราจะทำอย่างไร

ถ้าทำอย่างไร คนคนนั้นต้องพิสูจน์ ผู้ที่ปฏิบัติต้องพิสูจน์ขึ้นมา พยายามตั้งสติ แล้วพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ให้ใจมันมีความสงบระงับเข้ามา ให้มันแยกแยะของมันว่า ถ้ามันฟุ้งซ่าน ถ้ามันมีความฟุ้งซ่าน ถ้ากิเลสมันเข้มแข็ง กิเลสมันรุนแรง มันก็พยายามจะชักลากหัวใจเราไป เห็นไหม ชักลาก คำว่า “ชักลาก”

สอุปาทิเสสนิพพาน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ ขันธ์ที่มันสะอาดบริสุทธิ์ ขันธ์ที่มันสะอาดบริสุทธิ์มันเป็นวิธีการนะ ขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์มันไม่มีกิเลส นี่ขันธ์ของพระอรหันต์ เวลาพระอรหันต์ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่นี่ มันก็มีขันธ์ ขันธ์คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มี มีอยู่เพราะว่ามันยังเหลือเศษส่วนอยู่ แต่เพราะไปได้การประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือหมดสิ้นกิเลสไป ขันธ์นี้เป็นขันธ์ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ขันธ์ที่ไม่มีกิเลส ขันธ์ที่มันไม่ดิ้นรน ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบว่า เห็นไหม เปรียบเหมือนหางจิ้งจก หางจิ้งจกเวลามันขาดออกไปจากตัวจิ้งจก หางมันจะดิ้นของมันอยู่อย่างนั้น มันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่มันไม่สืบต่อ มันสืบต่อไปไม่ได้ เพราะมันเป็นหางจิ้งจก มันขาดออกมาจากตัวของมัน นี่ไง ขันธ์ที่มันสะอาดบริสุทธิ์มันเป็นอย่างนั้นไง มันไม่กระเทือนหัวใจไง มันไม่สะเทือนความรู้สึกไง มันเป็นการสื่อสาร มันเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

รูปก็คือความรู้สึกนึกคิด เวทนาก็มีความรับรู้เรื่องความเย็นร้อนอ่อนแข็ง สัญญา สัญญาก็ยังจำได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังจำนางพิมพาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำพระเจ้าสุทโธทนะได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังจำสามเณรราหุลได้ นี่สัญญาทั้งนั้นน่ะ สังขาร สังขารคือความคิดความปรุงแต่ง การสื่อสารกัน วิญญาณ วิญญาณก็รับรู้นั้น นี่ไงขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์

แต่เวลากิเลส จิตมันมีอวิชชา พอจิตมันมีอวิชชานะ จิตมันสกปรก จิตมีอวิชชา มีพญามารอยู่ เวลามันขับเคลื่อนออกไป มันเสวยอารมณ์ ขันธ์ไง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์เหมือนกัน ขันธ์ของปุถุชน ขันธมาร รูปก็เป็นมาร เวทนาก็เป็นมาร สัญญาก็เป็นมาร สังขารก็เป็นมาร วิญญาณก็เป็นมาร เป็นมารเป็นสมุทัย มันเหยียบย่ำหัวใจ ถ้ามันเป็นมาร เป็นการเหยียบย่ำหัวใจนะ มันขันธมาร มันเป็นมารไปหมด เพราะมันมีอวิชชา มันมีพญามารอยู่ที่หัวใจ สรรพสิ่งในนี้มันเป็นมารไปหมดเลย

ถ้าเป็นมารไปหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางและวินัยนี้ไว้ สอนอย่างนี้ไง สอนให้ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามาให้ขันธ์มันเบาบางลง ให้พญามารมันอ่อนตัวลง ให้ขันธ์นั้น สัญญา สังขารขันธ์ ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมา ถ้ามีความสงบระงับเข้ามา ความรู้สึกนึกคิดมันจะคิดเรื่องธรรมๆ เรื่องธรรมคือเรื่องให้เห็นสัจจะความจริงในหัวใจไง ถ้ามันเป็นเรื่องธรรม เห็นสัจจะความจริงในหัวใจ มันจะเริ่มประพฤติปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแบบที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ที่ครูบาอาจารย์เราสอนไง

ถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราสอนนะ สอนในภาคปฏิบัติไง ในภาคปฏิบัติมันต้องมีสติ มันต้องมีสมาธิ มันต้องมีปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ ปัญญาจะเกิดขึ้นมาจากภาวนามยปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นมาจากการที่เรามีความเพียรชอบ มีความเพียรชอบ มีความวิริยะ มีความอุตสาหะไง

แต่ถ้าปฏิบัติทางโลกๆ เขาก็ทำกันไป ทำกันเป็นพอพิธี เดินจงกรม นั่งสมาธิกัน ภาวนากัน แล้วก็มาทำอวดอ้างซะด้วยนะ ทำอวดอ้าง ทำเป็นครบเป็นสูตรของเขา แล้วทำอย่างนั้น มันมีสิ่งใดขึ้นมา มันเป็นกิเลสเป็นหนอน

คำว่ากิเลสเป็นหนอนนี่นะ มันเข้าใจว่ากิเลสเป็นธรรม ถ้ามันเข้าใจว่ากิเลสเป็นธรรม มันทำลายตัวมันเอง เห็นไหม เกลือเป็นหนอนๆ เขาทำลายสังคม มันเป็นสุภาษิตที่เขาให้เห็นว่า ถ้ามีการหักหลังกัน มีการทำลายกันนั้น มันเป็นเรื่องเกลือเป็นหนอน คนกันเอง คนด้วยกันเองทำร้ายกันทำลายกันเพื่อจะเอาประโยชน์ คิดว่ามันจะเป็นประโยชน์นะ นั้นเกลือเป็นหนอน

ถ้ากิเลสเป็นหนอนนะ กิเลสเป็นหนอนนี่มันเข้าใจว่าการประพฤติปฏิบัติของตัวเองเป็นธรรมไง มันเข้าใจว่ากิเลสเป็นธรรม มันเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยของเราเป็นธรรม แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านรู้ว่ากิเลสมันร้ายนัก กิเลสมันร้ายนัก ถ้ากิเลสมันร้ายนัก เราจะเริ่มชำระกิเลสอย่างไร คนถ้าไม่เคยเห็นกิเลส คนที่ไม่เคยเจอหน้ามัน ไม่ได้ต่อสู้กันมา มันจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสมันจะเล่นแร่แปรธาตุอย่างไร กิเลสมันมีเล่ห์มีเหลี่ยมอย่างไรของมัน แล้วมันครองหัวใจของสัตว์โลก มันจะให้สัตว์โลกนี้อยู่ด้วยความสะดวกสบายเป็นไปได้อย่างไร

ดูสิ เวลาเราแสวงหา เราเป็นมนุษย์ เรามีหน้าที่การงานมา ทำก็เพื่อความมั่นคงของชีวิต ทำมาเพื่อให้ชีวิตเรามั่นคง เราจะมีเครื่องใช้สอยไปตลอดชีวิต มีบำเหน็จมีบำนาญ ว่าแก่เฒ่าขึ้นมาเขาจะได้ใช้ ตอนนี้บำเหน็จบำนาญก็ไม่พอใช้แล้วแหละ นี่คนพยายามจะคิดให้มันมั่นคง แต่มันมั่นคงขึ้นมาได้ไหมล่ะ โลกมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลาปฏิบัติขึ้นมา เราก็ปฏิบัติว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันทำลายตัวมันเอง นี่กิเลสเป็นหนอนมันร้ายนัก กิเลสเป็นหนอน เห็นไหม เข้าใจไปหมดเลย เวลามีสติขึ้นมามันมีความระลึกรู้ มันไม่คิดเข้าไป เขาบอกว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เวลาทำความสงบ ทำให้มันเหม่อลอย ก็ว่านี่คือนิพพาน นี่มันเข้าใจผิดไง พอมันเข้าใจผิดแล้วทำลายตัวเอง แล้วมีความเชื่อด้วยนะ นี่กิเลสเป็นหนอน ถ้าเราจะไม่ยอมให้กิเลสเราเป็นหนอน เราทำอย่างไร

ถ้าเราไม่ให้กิเลสเป็นหนอน เราพยายามตั้งสติของเรา สิ่งต่างๆ เห็นไหม ดูสิ เวลาหนอนนี่นะ มันเกิดมาจากแมลงผลไม้ แมลงผลไม้นะ แมลงวันมันไข่ในผลไม้ ผลไม้ชนิดใด เวลามันมีหนอน หนอนมันขึ้น มันชอนมันไช ดูสิ มันน่ารังเกียจไหม ถ้าในสมัยปัจจุบันนี้เขาไม่ใช้สารเคมี เขาบอกมันเป็นหนอนนั่นน่ะดี มันจะได้รู้ว่าเขาไม่ใช้สารเคมี มันจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีสารเคมีมาในส่วนผสมนั้น นั้นก็เป็นเรื่องในการพิสูจน์กันเฉพาะว่ามันใช้สารเคมีและไม่ใช้สารเคมีเท่านั้น

แต่ถ้าในหัวใจของเราล่ะ ถ้าในหัวใจของเรานะ เวลามันเกิดขึ้นมา เราก็ไม่รู้ ถ้ากิเลสเป็นหนอน เราไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นหนอน แล้วเพราะเราเข้าใจเองว่านี่เป็นธรรม พอนี่เป็นธรรมขึ้นมา มันทำลายสิ่งที่เราจะเข้าไปสู่สัจจะความจริงแล้วล่ะ

ทำลายหมายความว่า มันจะไม่พัฒนาของมันขึ้นไป แล้วไม่พัฒนาขึ้นไปแล้วนะ เวลาเข้าใจว่าอย่างนั้น ฉะนั้น เวลาเข้าใจว่าอย่างนั้นแล้ว ความเข้าใจว่าอย่างนั้น ก็เห็นคุณค่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่นี้เองเหรอ สิ่งที่ว่าเป็นนิพพาน สิ่งนี้เป็นธรรม สัจธรรม มันมีความอย่างนี้หรอ แล้วพอมีความอย่างนี้แล้วนะ มันแสดงออกนี่สำคัญมาก

คนเราถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ เวลาแสดงออกไปก็แสดงออกจากภูมิวุฒิภาวะความรู้ในใจนั่นน่ะ ถ้าวุฒิความรู้ในใจมันไม่มีสิ่งใดที่จะเทียบเคียงว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ถ้าสิ่งใดผิด ผิดคือว่ามันไม่เข้าสู่ความจริง มันคาอยู่อย่างนั้น กิเลสเป็นหนอน มันว่าธรรมนี้เป็นสภาวะแบบนี้ แล้วก็บอกว่า ถ้าใครทำได้อย่างนี้ สิ่งนี้เป็นธรรมๆ

สิ่งนี้เป็นธรรม ตุ๊กตามันก็เป็นธรรม เพราะตุ๊กตาเราปั้นขึ้นมาแล้ว มันจะไม่มีความเศร้าหมอง ไม่มีทุกข์ไม่มีภัย มันจะตั้งของมันอยู่อย่างนั้น เว้นไว้แต่มันเป็นตุ๊กตา หรือว่ามันโดนทำลายไปเท่านั้นเอง นี่ไง ถ้าเรามีความเข้าใจผิดว่าความรู้ของเรานี้เป็นธรรม มันแสดงออกมาด้วยความผิดพลาด ด้วยความว่าสิ่งนี้เป็นธรรม โดยที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นผล ไม่เคยรู้จักกิเลสว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

แต่ถ้าเราจะปฏิบัติตามความเป็นจริง เรามีครูมีอาจารย์ของเรา ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรานะ บอกว่าให้ทำความสงบของใจเข้ามา ทำไมต้องทำ ทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อให้กิเลสมันไม่ได้แสดงตนจนเกินไป ดูสิ เวลาเราทุกข์ร้อนเต็มที่ เวลาเราโกรธเต็มที่ เวลาเราหลงเต็มที่ เรามีความเสียใจ มีความเดือดร้อนในใจมากน้อยขนาดไหน แล้วถ้าเรามีสติปัญญา เรายับยั้งมันขึ้นมา ระหว่างที่คนโกรธมากๆ กับคนที่โกรธปานกลาง กับคนที่ไม่โกรธ มันแตกต่างกันอย่างไร

จิตใจของเรา ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราไม่ทำความสงบของใจเข้ามา มันก็ดิ้นรนไปตามแต่อำนาจของกิเลสที่มันขับไส ถ้ามันอำนาจกิเลสที่มันขับไส ไปศึกษาธรรมก็หลงใหลไปในธรรม ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติเลย นี่เพราะเราห่วงไง คนที่ปฏิบัติใหม่เป็นอย่างนั้น ถ้าเราปฏิบัติแล้วมรรคผลจะมีจริงหรือเปล่า เราปฏิบัติแล้วจะได้ผลไหม ถ้าเราปฏิบัติแล้ว ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร นี่มันยังไม่ทำอะไรเลยน่ะ กิเลสเป็นหนอนแล้ว มันเจาะมันไชแล้ว

ถ้ามันเจาะมันไชหัวใจ หัวใจนี้มันจะตั้งมั่นได้อย่างไร เราต้องวางให้หมดเลย เราไม่ปฏิบัติธรรม เราก็ว่าชีวิตนี้เราก็ทุกข์ยากพอแรงอยู่แล้ว พอเรามาปฏิบัติธรรม มันก็ทุกข์ยากเข้าไปอีก วิตกกังวลไปทุกๆ เรื่องเลย คนเราเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นนะ

คนเราเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม เกิดมารูปร่างหน้าตาแตกต่างกัน เห็นไหม ศีลทำให้คนอายุยืน ศีลทำให้ร่างกายของคนสวยงาม ถ้าทำทานไว้ เราเกิดมาจะมีโภคทรัพย์ นี่มันอยู่ที่การกระทำมา พอมันทำของมันมานะ

เดี๋ยวนี้โลกเขาเจริญนะ เขาก็มีการแก้ไขดัดแปลงไปตามประสาโลกล่ะ แต่เอาข้อเท็จจริง เอาข้อเท็จจริง เห็นไหม ถ้าเราเกิดมา รูปร่างหน้าตาแตกต่างกัน อยู่ที่อำนาจวาสนา เขาเรียกรูปสมบัติๆ รูปสมบัตินี่เราสร้างเวรสร้างกรรมมา มันมาเป็นแบบนี้ เราไม่ต้องเสียใจน้อยใจไปกับมัน ฉะนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ทุกคนมันก็ไม่เท่ากัน มันก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าทุกคนมันไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน เราก็พยายามทำความสงบของใจเราเข้ามาให้ได้ ถ้าเราทำความสงบของใจให้ได้ เราวางให้หมด อย่าไปทุกข์ร้อน อย่าไปเดือดร้อนว่าเราปฏิบัติแล้วต้องเป็นพระอรหันต์ในวันพรุ่งนี้ เวลาปฏิบัติแล้วนั่งได้ ๕ ชั่วโมง ต้องได้สมาธิ ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา ถ้าเรานั่งไม่ได้ ก็เราเป็นคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา เราเป็นคนทุกข์คนจนคนเข็ญใจ แล้วมันมีใครร่ำรวยล่ะ

ร่ำรวยนี่มันร่ำรวยด้วยปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้นล่ะ คนเราจะร่ำรวยไม่ร่ำรวย เห็นไหม คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ครูบาอาจารย์ของเรา บริขาร ๘ แต่ค้ำจุนโลก ค้ำจุนศาสนา นี่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ แล้วใครรู้ได้ว่ามันยิ่งใหญ่จริงหรือไม่ยิ่งใหญ่จริงเป็นแบบใดล่ะ แต่ยิ่งใหญ่จริง รู้ได้ รู้ไม่ได้ หลวงปู่มั่นท่านพยากรณ์ไว้เลยว่า ต่อไปจะมีพระหนุ่มๆ มาอยู่กับเรา จะเป็นผู้นำทั้งทางธรรมและทางโลก เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านรู้ของท่านน่ะ ท่านรู้ของท่าน นี่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ท่านทำของท่านในหัวใจ แล้วใครจะไปรู้ได้ล่ะ

ฉะนั้น ในใจของครูบาอาจารย์ท่านก็ผ่านมาแล้ว ประสบการณ์ในวงกรรมฐาน รู้เท่าทันกันมา แล้วเราเป็นใคร เราก็เป็นลูกศิษย์กรรมฐานใช่ไหม เราจะประพฤติปฏิบัติของเราไหม เราต้องปราบปรามความเป็นหนอนในใจเราให้ได้ ถ้าปราบปรามความเป็นหนอนในใจของเราให้ได้ เราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา แล้วเรามีสติปัญญานึกคิดอย่างนี้ จะทำให้จิตใจเรามีกำลังขึ้นมา จิตใจของเราไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องวิตกกังวลจนเกินไปว่าจะบีบคั้นมัน เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็เดือนร้อนนัก เวลาไม่ปฏิบัติก็ทุกข์นัก แล้วปฏิบัติมันจะทำอย่างไรต่อไปนะ

แต่ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาแล้ว ท่านเห็นผลของมัน เพราะท่านรู้อย่างนี้ เวลาครูบาอาจารย์ เวลาหลวงปู่มั่น เวลาผู้ที่ปฏิบัติใหม่เข้าไป ท่านจะฝึกหัดให้รู้จักอุปัฏฐากพระ ฝึกหัดให้รู้จักข้อวัตรของพระ ฝึกหัดให้รู้จักการตัด การเย็บ การย้อม ฝึกหัดให้รู้จักธรรมวินัย ฝึกหัดให้รู้จักวินัยของพระ แล้วถ้ามีนิสัย ท่านก็บวชให้ นี่มันวางพื้นฐานกันมาแบบนี้ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็รู้หลักรู้เกณฑ์ มีข้อวัตร คือใจมันมีข้อวัตร มีที่อาศัย คือใจมันไม่ดิ้นรนจนเกินไปไง ใจมันมีที่พึ่งของมัน

แต่ปฏิบัติในสมัยปัจจุบันนี้ มาจากไหนก็ไม่รู้ มาถึงก็ปฏิบัติ พอปฏิบัติไปแล้วสบายๆ...นี่กิเลสเป็นหนอน มันทำลายความจริงในใจทั้งหมดเลย แล้วบอกว่าสิ่งนั้นเป็นจริงไง สิ่งนั้นเป็นจริงๆ แล้วเวลาแนะนำการปฏิบัติ แล้วทำอย่างไรต่อไปล่ะ มันก็เป็นสูตรสำเร็จไง เหมือนเรารู้ข้อสอบ รู้สูตรหมดเลย กิเลสมันรู้หมดเลย ตอบโจทย์ได้หมดเลย ทำอะไรก็ตอบได้หมดเลย แล้วกิเลสอยู่ไหน “อ้าว! ก็ว่างๆ ก็สบายๆ” กิเลสเป็นหนอน

แต่ของเรา เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามานะ ความเป็นหนอนมันไม่มี มันไม่มีความเป็นหนอนของมันใช่ไหม ถ้าไม่มีความเป็นหนอนของมัน มันตามข้อเท็จจริงนั้น ถ้าจิตสงบแล้วนะ ออกฝึกหัดใช้ปัญญา การฝึกหัดใช้ปัญญานี้ การที่จิตสงบแล้วหนอนมันไม่มี แต่ถ้าเราไม่ฝึกหัดใช้ปัญญา เดี๋ยวแมลงวันมันจะไข่ พอแมลงวันมันไข่แล้วมันจะฝักเป็นหนอน พอเป็นหนอนขึ้นมาก็ล้มลุกคลุกคลาน

จิตเจริญแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญ ขณะที่จิตมันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เห็นไหม เพราะดูสิ เดี๋ยวมันก็โกรธ เดี๋ยวมันก็ไม่โกรธ เดี๋ยวก็โกรธมาก เดี๋ยวก็โกรธน้อย ถ้ามีสติปัญญา มันก็รักษาใจไม่ให้โกรธได้ ถ้าสติมันอ่อน เดี๋ยวมันก็เผลอโกรธไปแล้ว พอเผลอโกรธไปก็ แหม! สิ่งนั้นไม่ดีเลย เราไม่น่ากระทำเลย มันก็ดีใจเสียใจ นี่ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดมีประสบการณ์ขึ้นมา

พอมีประสบการณ์ขึ้นมา พอจิตมันดีขึ้น พุทโธๆ จิตสงบมากขึ้น ถ้ามากขึ้นแล้วทำไมออกฝึกหัดใช้ปัญญา ออกให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ทำไมมันไม่เห็น ถ้ามันไม่เห็นนะ เราก็ทำความสงบของใจให้มากขึ้น ให้มากขึ้นเพื่อมีกำลัง มีกำลังแล้วก็ออกใช้งานมัน ออกใช้งาน เห็นไหม ถ้าออกใช้งานให้เป็นตามข้อเท็จจริง ศีลก็คือศีล สมาธิก็คือสมาธิ ปัญญาก็คือปัญญา

แล้วปัญญา ถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา เราเห็นได้นะ ถ้าจิตมันสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม พอเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามันจะแยกแยะของมัน พอปัญญาแยกแยะของมัน ถ้ามันปล่อยของมันได้ มันจะมีรสมีชาติ มันจะมีความสุข มันจะมีความแปลกประหลาด มันจะมีความมหัศจรรย์ ทำไมจิตมันคิดได้ขนาดนั้น ทำไมหัวใจของคนเวลามันสลัด มันปล่อยวางกัน มันจะมีความสุขได้ขนาดนั้น นี่มันฝังใจนะ

มันฝังใจ แม้แต่ทำความสงบของใจ ทำสมาธิ มันก็ติดในรสของสมาธิ พอไม่ได้สมาธิ มันเดือดมันร้อน มันหงุดมันหงิด มันไม่ได้ดั่งใจ แต่ถ้ามันได้สมาธิ มันได้ดื่มกินสมาธิ มันได้มีความสุขมีความสงบของมัน มันก็พอใจของมัน มันก็มีความสุข แหม! นอนสบาย นอนสบาย พอมันเสื่อมขึ้นมานี่เดือดร้อนแล้ว เดือดร้อนนะ

จิตของมันได้พัฒนาขึ้นมา นี่รสของธรรมๆ จิตมันได้สัมผัส ได้พัฒนาขึ้นมา เวลามันรู้มันเห็น ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมา ท่านปฏิบัติมาอย่างนี้ จิตไม่สงบก็รู้ว่ามันไม่สงบ พอจิตมันสงบแล้ว มีกำลังหรือไม่มีกำลัง ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ามันเสื่อม มันก็รักษาจิตที่มันเสื่อมนั้นให้มันเจริญขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่มันเสื่อม เสื่อมก็เป็นธรรมดาของมัน สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา เป็นสมาธิขึ้นมาเดี๋ยวมันก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา

นี่กิเลสเป็นหนอน มันมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันธรรมดาของมัน ถ้ากิเลสเป็นหนอน เพราะกิเลสมันทำลายไง กิเลสมันทำลายหัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้มีอำนาจวาสนาที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วเวลาปฏิบัติแล้วคิดว่าปฏิบัติแล้วกิเลสมันจะเชิดชู มันจะส่งเสริมไง กิเลสที่ไหนมันจะเชิดชู มันจะส่งเสริมล่ะ มีแต่ธรรมะน่ะ มีแต่สติ สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม จะไปกำราบปราบปรามมัน

มันต้องมีความจริงขึ้นมาอย่างนี้ไง ระหว่างกิเลสกับธรรมมันแข่งขันกันในหัวใจ มันปฏิบัติขึ้นมา มันรู้มันเห็นของมัน ผู้ที่ปฏิบัติมันรู้มันเห็น มันถึงเป็นสันทิฏฐิโกไง มันถึงเป็นปัจจัตตังไง มันเห็นแจ้งๆ กลางหัวใจไง นี่ปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ มันทุกข์มันยากมันก็ทุกข์ก็ยากเพื่อความงอกงามความเจริญของมัน มันไม่ใช่มันทุกข์มันยากเพื่อความทุกข์ยากนี่ มันทุกข์มันทุกข์มันยากขึ้นมาก็เพื่อผลของสมาธิ เพื่อผลความสงบระงับในใจ

พอใจมันสงบระงับขึ้นมานะ ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา พอฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาถ้ามันจับได้ จับได้มันก็เป็นผลงานแล้วล่ะ นี่ไง ที่ไม่เคยเห็นหน้ากิเลส ไม่เคยเห็นหน้ากิเลสเลย เวลาจะฆ่าหลานกิเลสไง นี่หลานของมัน หลานของมันมายุมาแหย่ ถ้ายุแหย่ มันเด็กๆ มันอนุบาลมาก แต่มันอนุบาลมากในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันอนุบาลมาก แต่มันใหญ่โตมากในหัวใจที่ล้มลุกคลุกคลาน หัวใจที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ มันใหญ่โตมาก มันสามารถชักนำ มันสามารถหลอกลวง มันสามารถจูงจมูกหัวใจเรา จูงจมูกจิตให้เชื่อมัน พอเชื่อมัน เห็นไหม เชื่อมันก็กิเลสเป็นหนอนไง “สิ่งนี้เป็นธรรม โอ๋ย! มันมีความเวิ้งว้าง มันมีความสุข”

ความสุข เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เวลามีความสุขความสงบนะ นี่ทุกข์ควรกำหนด อะไรเป็นทุกข์ล่ะ ถ้ากำหนดทุกข์ขึ้นมา แล้วใช้ปัญญา มันจะปล่อยวางทุกข์นั้นเข้ามา พอปล่อยวางเข้ามามันก็เป็นความสุข นี่ไง ถ้ามันเกิดเป็นความสุขขึ้นมา เวลามันปล่อย มันมีความสุขขึ้นมา แล้วความสุขล่ะ ความสุขมันอยู่กับเราไหมล่ะ? ความสุขมันก็อยู่กับเราชั่วคราว อยู่ด้วยกำลัง อยู่ด้วยเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามีเหตุมีปัจจัยขึ้นมา เราพิจารณาเข้ามามันก็ปล่อยวาง ปล่อยวาง มีความสุขมาก มีความสุขมาก มีความสุข

แล้วความสุขอย่างนี้ ความมหัศจรรย์ของใจอย่างนี้ กับสิ่งที่เราได้คิดค้นมา สิ่งที่เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เรากำหนดพุทโธขั้นมาเพื่อให้จิตสงบเข้ามา สงบระงับเข้ามาจากกิเลสหยาบๆ ที่มันกระตุ้น เห็นไหม บ่วงของมาร พวงดอกไม้แห่งมารที่มันล้มลุกคลุกคลานอยู่ สิ่งนี้เอามาล่อใจๆ อยู่ แล้วใจก็ไม่มีหลัก มันก็เสวยอารมณ์อยู่อย่างนั้นน่ะ นี่มันเสวยมันคิดมันนึกมันทำ มันเต็มไม้เต็มมือของมันน่ะ

แต่พอเราทำความสงบของใจเข้ามา พอใจมันปล่อยวาง อ้าว! ไม่โกรธดีกว่าโกรธ อ้าว! ไม่ฟุ้งซ่านดีกว่าฟุ้งซ่าน มันรู้มันเห็นเข้ามา มันสงบเข้ามา สงบเข้ามา นี่เป็นความสุขอันหนึ่ง ความสุข เห็นไหม

จิตเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เราพิจารณาของเราสิว่า จนจิตมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม พอเห็นความจริง เห็นความจริงมันก็จับต้องของมันได้ ถ้าจับต้องของมันได้ แล้วมันฝึกหัดใช้ปัญญาไป ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันแยกแยะมันไป แยกแยะนะ แยกแยะ ฝึกหัดปัญญา ปัญญาในการฝึกหัดปัญญา

หลวงตาบอกมาก พูดบ่อยมากว่าปัญญาเกิดเองไม่มี เป็นสมาธิแล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นมา แล้วมันจะมีมรรคมีผล ไม่มี

ฉะนั้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ท่านจะเน้นย้ำตลอดเลย ต้องฝึกหัดมัน ต้องชักนำจิตมาให้ฝึกหัดใช้ปัญญา

“แล้วปัญญาของเราก็มีอยู่แล้วสัญญาที่มันคิดอยู่นี่ มันจินตนาการ โอ้โฮ! เต็มไปหมดเลย”

กิเลสเป็นหนอน นี่ทุกคนคิดอยู่ จินตนาการธรรมะของพระพุทธเจ้า วิจัยได้ วิเคราะห์ได้ ธรรมะพระพุทธเจ้ารู้ทุกข้อ รู้ทุกอย่างเลย นั้นเป็นปัญญาไหม อย่างนั้นเป็นปัญญาไหม นั่นน่ะกิเลสเป็นหนอน

นั่นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงของเราไม่เกิดแม้แต่กระพี้ริ้น ถ้ากระพี้ริ้นจะเกิดขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา จิตสงบแล้วขุดคุ้ยหากิเลส

“น้ำใสจะเห็นตัวปลา ถ้าจิตสงบแล้วมันจะเห็นกิเลส”...อีกร้อยชาติ! เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ ฤๅษีชีไพรมันไม่คาอยู่นั่นหรอก ฤๅษีชีไพรจิตสงบ เขาเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้วล่ะ ฤๅษีชีไพรทำไมเป็นฤๅษีชีไพรอยู่อย่างนั้นล่ะ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ ใครจะทำอย่างนี้มา นี่ไง เป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเป็นไปได้ เวลาจิตมันสงบ แล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ธรรมารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ความที่เป็นปมในหัวใจ ถ้ามันจับของมันได้นะ จับได้โดยสัมมาสมาธิ มันจะดีอกดีใจ นั่นล่ะเห็นกิเลส คนเราจะฆ่ากิเลสต้องรู้จักกิเลส คนเราจะฆ่ากิเลส ไม่เห็นตัวมัน จะไปฆ่าใคร ฆ่าไม่ได้ ทำลายกิเลสไม่ได้ถ้าไม่รู้จักอะไรเป็นธรรมอะไรเป็นกิเลส เป็นไปไม่ได้หรอก

แต่ถ้ามันจะเป็นไปได้ จิตสงบแล้วถ้ามันจับต้องได้ มันจับกิเลสได้ โอ๋ย! มันตื่นเต้น ตื่นเต้นมาก พอตื่นเต้นแล้วเราแยกแยะของมัน พิจารณาของเราไป การพิจารณานะ พิจารณา เห็นไหม ดูสิ ในการศึกษา เขาจะพิจารณาเรื่องอะไรล่ะ โอ้โฮ! ถ้าเรื่องกายนะ ทางการแพทย์เขาวิเคราะห์วิจัยไว้หมดแล้ว โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดจากสิ่งใด ต่อมน้ำเหลือง จะเป็นเซลล์ เป็นไขมัน เป็นไวรัส รู้ไปหมดเลย

ถ้าพิจารณากาย หมอก็พิจารณาแล้ว แล้วได้อะไรล่ะ แล้วพระทำไมต้องมาพิจารณาด้วยล่ะ แล้วพิจารณาทำไม กาย พิจารณาทำไม

พิจารณาในความสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดของกายนี้ สิ่งที่ทุกคน ทุกคนมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จิตที่เกิดนี้ทุกดวงจิตมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากถึงได้เกิด การเกิดมาเป็นมนุษย์มันมีอวิชชา มีมารครอบงำมาทุกๆ คน เพียงแต่ว่าวิชาชีพของเขา ใครศึกษาวิชาชีพใดมา เขาก็ใช้วิชาชีพนั้นเพื่อดำรงชีวิตของเขา ฉะนั้น ถ้าเขาศึกษามาทางการแพทย์ เขาก็ใช้ทางการแพทย์นั้นเป็นวิชาชีพของเขา วิชาชีพคือใช้สารเคมี ใช้เคมี ใช้ตัวยาต่างๆ เพื่อรักษาโรค ระหว่างที่มันชำระล้างกัน ระหว่างเคมีกับเรื่องเชื้อโรค อันนั้นเขาศึกษามาด้วยการใช้เท่านั้นเอง ฉะนั้น การใช้ เขาวิเคราะห์อย่างนั้น เขาวิเคราะห์ทางวิชาชีพของเขา

แต่ถ้าเราพิจารณากายของเรา เราพิจารณากายของเราโดยที่เราไม่ได้ศึกษาทางการแพทย์มา เราจะไม่รู้หรอกว่าการใช้สารเคมีสิ่งใดกับโรคภัยไข้เจ็บอย่างไร แต่ถ้าจิตเราสงบแล้วเราพิจารณากายของเรา เราต้องการถอดถอนสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิที่ยึดมั่นถือมั่น โดยจิตใต้สำนึกว่าจิตนี้เป็นเรา สรรพสิ่งนี้เป็นเรา เป็นเราโดยจิตใต้สำนึก เห็นไหม กิเลสมันจะไม่เป็นหนอนแล้วล่ะ มันจะเป็นสัจจะ มันจะเป็นความจริง มันจะเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้รื้อค้น ได้อาสวักขยญาณ ได้ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยขิปปาภิญญา โดยเริ่มต้นนั่งตั้งแต่หัวค่ำ ท่ามกลาง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา นั่งคืนเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมและวินัย

เห็นไหม ธรรมะที่มีอยู่แล้วๆ ให้เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้เป็นตามความจริงของใจดวงนั้นขึ้นมา ถ้าใจดวงนั้นขึ้นมา มันพิจารณาของมัน พิจารณาแยกแยะของมัน ฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามันปล่อยวาง นั้นเป็นการฝึกหัด นายแพทย์ฝึกหัดเขาต้องฝึกหัดในการใช้ยา ใช้การรักษา เขาศึกษามาแล้ว เขาฝึกหัด เขาต้องมีแพทย์ควบคุมเขาให้เขาฝึกหัดจนกว่าเขาจะมีความชำนาญของเขา ให้เขามั่นใจของเขาในการรักษาคนไข้ของเขา

เวลาเราปฏิบัติของเราขึ้นมา เราฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ขึ้นมา ปัญญามันจะแยกแยะ แยกแยะของมันตามแต่กำลังของจิต ตามแต่อำนาจวาสนาของคน คนที่เขาวิตกจริต โทสจริต โมหจริต จริตของใครถ้ามันมีความโมหะ การแยกแยะพิจารณากายมันก็เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับเขา หลงใหลไปกับอะไร? หลงใหลกับสิ่งที่รู้สิ่งที่เห็น ถ้าหลงใหลสิ่งที่รู้ที่เห็น นั่นน่ะกิเลสมันจะเป็นหนอนแล้วล่ะ

ทั้งๆ ที่เราทำความดีมาตลอด เราทำความถูกต้องมาตลอด แต่ขณะที่เราทำขึ้นมา ถ้าเราไม่มีสติปัญญา สติปัญญาของเรามันไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา เวลาปฏิบัติขึ้นมามันเป็นอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค เวลาเป็นอัตตกิลมถานุโยค นี่ลำบากนัก ทำสิ่งต่างๆ ขึ้นมาล้มลุกคลุกคลานมากนัก

แต่ถ้าเวลาพิจาณาไปแล้วมันปล่อยวาง มันมีความสุข นั่นน่ะเป็นสุข กามสุขัลลิกานุโยค มันมีความพอใจ มีความอะไรต่างๆ มันไม่ลงมัชฌิมาปฏิปทา มันไม่ลงสู่ตามความเป็นจริงในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมัชฌิมาปฏิปทาของใคร? มัชฌิมาปฏิปทาของกิเลส ถ้ามันถูกใจของเรามันก็เป็นมัชฌิมปฏิปทา นี่ไง กิเลสเป็นหนอน กิเลสเป็นหนอนน่ะ กิเลสเป็นหนอนนะ ทั้งๆ ที่ว่ามันกำลังจะได้จะเสียกันในหัวใจนะ ระหว่างกิเลสกับธรรมมันกำลังต่อสู้กัน ต่อสู้ด้วยอะไร? ต่อสู้ด้วยความเพียรของเรา ต่อสู้ด้วยสติปัญญาของเรา ต่อสู้ด้วยจิตของเรา

เพราะเรามีจิตของเรา เรามีจิตของเรา เรามีความเจตนาของเรา เรามีการกระทำของเรา มันถึงเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมา พอเป็นเนื้อเป็นหนัง มันก็มีสติชอบ งานชอบ เพียรชอบ มันมีมรรคขึ้นมา พอมรรคขึ้นมา ถ้าเราจับกาย เวทนา จิต ธรรมได้ ธรรมจักรมันจะเคลื่อนของมันไป ถ้ามันเคลื่อนของมัน พิจารณาแยกแยะของมันไปๆ นี่ด้วยปัญญาของเรา ถ้าปัญญามันแยกแยะของมันได้ มันปล่อยวาง ปล่อยวาง ตทังคปหาน

การฝึกหัดไง แพทย์ฝึกหัดเขาต้องฝึกหัดของเขาเพื่อความชำนาญการของเขา จนฝึกหัดชำนาญแล้ว อาจารย์ของเขาจะปล่อยเขาให้เขาดำรงชีวิตของเขาไป ถ้าเขาดำรงชีวิตเขาไป เขามีความชำนาญของเขา เขาทำหน้าที่การงานของเขา เขาเจริญรุ่งเรืองของเขา เขาจะเป็นผู้ชำนาญการต่อไปข้างหน้า

นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติของเรา แยกแยะของเรา ดูแลของเรา เราพยายามทำของเรา ถ้ามันตทังคปหาน มันก็คือการฝึกหัดๆ การฝึกหัด ประสบการณ์ฝึกหัด มันฝึกหัดแล้ว นี่คืออะไร? นี่คือภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจาการภาวนา ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการศึกษา ศึกษามาแล้ว ศึกษามาเป็นทฤษฎี เป็นภาคปริยัติ ปริยัติต้องปฏิบัติ แล้วขณะที่ปริยัติจะมาปฏิบัติ ถ้าเอาปริยัติเข้ามาปนกันกับปฏิบัติ มันก็เป็นกิเลสเป็นหนอนไง มันสร้างภาพ เห็นไหม

สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา...สุตมยปัญญา มันเป็นทฤษฎี เรารู้อยู่แล้ว เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าหน้าด้านว่าเป็นของเรา ให้มีสติให้มีปัญญา ให้มีหิริมีโอตตัปปะ มีความเกรงกลัว มีความละอาย ให้หัวใจมีความละอาย ละอายกับใจ ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สุตมยปัญญา เวลาปฏิบัติ ถ้าสุตมยปัญญาเป็นพื้นฐาน มันจะเกิดจินตมยปัญญา มันจะเป็นจินตนาการไปทั้งนั้น แล้วรู้เห็นๆ ไปทั้งนั้น นี่กิเลสเป็นหนอน กิเลสเป็นหนอน

กิเลสเป็นหนอนเพราะมันทำลายโอกาสของตัวเอง แล้วกิเลสมันละเอียดอ่อน มันทำอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเราปล่อยวางให้หมด ให้เป็นความจริงขึ้นมา ให้มีเนื้อมีหนัง มีข้อเท็จจริงของเรา มีการกระทำของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษามาเป็นแนวเป็นทางน่ะ สาธุ ขณะปฏิบัติมันต้องปฏิบัติตามความเป็นจริง

นี่ศึกษามา ดูสิ นักรบคนไหนเวลาเขาจะออกรบ เขาต้องมีตำราไปด้วย เขาศึกษามาแล้ว ศึกษามานะ นักรบนะ ทหารเขาเรียนมาแล้ว เรียนมาจบแล้วล่ะ เขาฝึกมาจนพร้อมแล้ว เวลาออกรบ เขาก็มีแต่อาวุธของเขาไปเท่านั้นน่ะ เขาไม่เอาตำราไปด้วยหรอก นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติแล้ว ทำไมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาแล้วจะต้องเอามาด้วยล่ะ วางไว้สิ ถ้าวางไม่ได้ เป็นสมาธิไม่ได้

เพราะวางนั้นคือสมาธิ ถ้าพุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิ เป็นสมาธิมาก็คือวางไว้หมด ตัวมันเองถึงเป็นอิสระขึ้นมา แล้วพอตัวเองเป็นอิสระขึ้นมา เวลาค้นหา ค้นหาหน้ากิเลส จะดูหน้ากิเลส กิเลสที่มันหลอกลวงเราแล้วพาเราเวียนว่ายตายเกิดนี่ ขอดูหน้ามันหน่อยสิว่าไอ้คนที่อยู่กับเรา อยู่กับเราแท้ๆ ใจกับเงามันอยู่ด้วยกันมา ทำไมไม่เคยเห็นหน้ากันเลยล่ะ ขอดูหน้าหน่อยน่ะ

พอได้เห็นหน้ามัน พอจิตสงบแล้วได้เห็นหน้ามัน พอเห็นหน้าขึ้นมา มันสะเทือนหัวใจมาก ใครเห็นกายนะ ใครจับกายได้ จับเวทนาได้ จับจิตได้ จับธรรมได้ นี้คือผลงานอันยิ่งใหญ่ ผลงานของใจอันยิ่งใหญ่

ทุกคนหาสมบัติมาเพื่อดำรงชีวิต ทุกคนหาลาภสักการะมาเพื่อดำรงตนให้สังคมยอมรับ แต่ทุกดวงจิตไม่เคยรู้จักตัวเอง ทุกดวงจิต ถ้าจิตสงบเข้ามา มันจะเป็นตัวของมัน พอตัวของมัน แล้วตัวของมัน มันทรงตัวมันได้อย่างไร มันเวียนว่ายตายเกิดเพราะเหตุใด นี้เพราะมันมีกิเลสคอยขับไสไง มันมีตัณหาความทะยานอยากคอยขับดันอยู่ มีสมุทัยอยู่ไง แล้วถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันเห็น นี่เห็นสิ่งที่มันเป็นที่แสดงออกของกิเลสไง ก็เห็นหน้ากิเลสไง

ถ้าเห็นหน้ากิเลส มันจะมีความมหัศจรรย์มาก ถ้ามหัศจรรย์มากนะ แล้วพอฝึกหัดใช้ปัญญาของเราไป ฝึกหัดใช้ปัญญา นี่ไง มันจะเห็นว่าภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร คนที่ปฏิบัติเป็น เขาจะรู้จักว่าการภาวนา ธรรมจักร จักรที่เกิดจากใจมันเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นอย่างไร มันถึงทะนุถนอมไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เรา ท่านทะนุถนอมมาก

หลวงตานะ เวลาท่านอยู่ที่วัด ถ้าใครเผลอ ใครเหม่อใครลอย ท่านรับไม่ได้เลย เพราะนั้นน่ะกิเลสมันขี่หัว นั่นล่ะซากศพเดินได้ มันไม่มีสติมีปัญญาในตัวมัน แล้วคนที่เป็นครูบาอาจารย์นะ เหมือนเราเป็นโค้ชนักกีฬา แล้วนักกีฬาของเรามันไม่สู้เลย ใจไม่เอาเลย มันลงไปแข่ง มันมีแต่แพ้กับแพ้

เรา ระหว่างกิเลสกับธรรมในใจเรามันต่อสู้กันแข่งขันกัน แล้วนักรบแสดงออกอย่างนั้นหรือ นี่ไง สิ่งที่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรมนะ นี่เป็นธรรม หนึ่ง ไม่ให้คลุกคลี คนที่ภาวนาเป็นไม่คลุกคลีเด็ดขาด การคลุกคลีนะ เพราะอะไร เพราะเราจะต่อสู้กับกิเลสของเรานะ ระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กันในใจ เรายังมีเวลาไปคลุกคลีกับคนอื่นอีกหรือ เรายังมีเวลาไปรับรู้คนอื่น ไปแบกหามเรื่องคนอื่นอีกหรือ ระหว่างกิเลสกับมันธรรมสู้กันอยู่นี่

เวลาเราปล่อย เห็นไหม ดูสิ การแข่งขันกีฬาของเขา สัตว์ที่เวลามันชนกันอย่างนี้ มันเป็นเรื่องชีวิตมันเลยนะ มันต่อสู้กันเต็มที่ของมันนะ นี่ก็เหมือนกัน ระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กัน เรามีบุคคลที่สามเข้าไปขวางได้ไหม มีบุคคลที่สามเข้าไปวุ่นวายกับการที่สัตว์ร้ายที่มันกำลังต่อสู้กัน มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน ระหว่างกิเลสกับธรรมที่มันต่อสู้กัน มันมีสติมีปัญญา สติปัญญานะ เดี๋ยวภาวนาไปจะเป็นมหาสติ มหาปัญญานะ มันจะเข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วมันจะมีเวลาไปอย่างนั้นอีกไหม นี่พูดถึง เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติของท่านมาอย่างนี้ ท่านจะรู้

แล้วท่านว่า ถ้าในใจมันมีงาน มีงานหมายความว่า ระหว่างกิเลสกับธรรมมันจุดติด มันต่อสู้กันได้ เขาจะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เขาจะต่อสู้ของเขา เว้นไว้แต่พอจิตมันเริ่มเสื่อม ถ้ามันเริ่มเสื่อม ผู้ที่ฝึกหัดใหม่ ปฏิบัติใหม่ มันรักษาไม่เป็น มันจะเสื่อม พอมันเสื่อมขึ้นมา เพราะอะไร เพราะไม่มีความชำนาญ

ถ้าคนเสื่อมนะ คอตกเลยล่ะ พอคอตกนะ เศรษฐีแล้วล้มละลาย จะมีความทุกข์มาก อย่างเราไม่เคยเป็นเศรษฐี แล้วเราก็ไม่เคยมีเงินมาก เราก็อยู่ของเราได้ล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคนปฏิบัติไม่ได้ มันก็เหมือนปกติ เราไม่ได้เป็นเศรษฐี แต่คนปฏิบัติได้ขึ้นมามันเป็นเศรษฐีแล้วล้มละลาย ล้มละลายขึ้นมา เราก็ต้องตั้งต้นใหม่ เริ่มต้นขึ้นมา ไม่มีทางแก้อื่น

ทางแก้ของเรานะ เราก็ตั้งสติของเรา นี่ตั้งสติ แล้วถ้าสติมันตั้งไม่ได้แล้ว เพราะมันอาลัยอาวรณ์กับสมบัติเดิม ของเคยได้มันจะอาลัยอาวรณ์มาก พออาลัยอาวรณ์ จิตมันส่งไปอยู่ที่อาลัยอาวรณ์หมดไง แต่ถ้ามีปัญญา เราตัดกังวลในความอาลัยอาวรณ์ทั้งหมด อาลัยอาวรณ์ไปมันจะเพิ่มโทษได้สองเท่าสามเท่า กิเลสเป็นหนอน กิเลสเป็นหนอน จะทำให้เราล้มลุกคลุกคลานตลอดไป เราต้องไม่ให้กิเลสมันเป็นหนอน หนอนคือทำลายใจเราเอง

ถ้าเราเห็นว่ากิเลสเป็นหนอน มันทำลายเรา นี่กิเลสมันก็แย่อยู่แล้ว กิเลสมันก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานอยู่แล้ว แล้วมันยังเป็นพิษเป็นภัย มันเป็นหนอน มันทำลายตัวมันเอง โอ๋ย! มันทุกข์สามชั้นสี่ชั้นนะ แล้วความทุกข์อย่างนี้มันเกิดที่ไหน? มันเกิดบนหัวใจของเราด้วยความลุ่มหลง

ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญา ไม่คิดถึง ไม่คิดถึงสิ่งสมบัติที่เคยได้ ไม่คิดถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้ามันคิดถึงนะ แล้วจิตใจมันก็ยังกังวล จิตใจมันยังดื้อด้านอย่างนี้ นี่ธาตุขันธ์ทับจิต ธาตุขันธ์มันมีกำลัง ก็ต้องอดนอนผ่อนอาหารให้มันเบาลง มันมีเทคนิคของมัน เวลาครูบาอาจารย์ท่านผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาทุกองค์! ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมา จิตเวลาปฏิบัติ คนทำงานไม่เคยผิด ไม่มี เราคนออกฝึกหัด ออกปฏิบัติแล้วจิตมันไม่เคยล้มลุกคลุกคลาน ไม่มี ฉะนั้น เวลาไม่มี เวลาจะเป็นครูบาอาจารย์ขึ้นมาได้ มันมีประสบการณ์อย่างนั้นขึ้นมา แล้วประสบการณ์อย่างนั้นขึ้นมา ท่านคอยชี้ คอยแนะ คอยบอก

หลวงตาท่านพูดอยู่ จากมือมือหนึ่งส่งให้อีกมือหนึ่งไง จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง ยื่นให้ๆ เรารับกันไม่ได้ เรารับสิ่งนั้นไว้ไม่ได้ ถ้าเรารับไม่ได้ แล้วอยากได้ใช่ไหม ทุกคนมาปฏิบัติกัน ปฏิบัติเพื่ออะไร? เพื่อพ้นทุกข์ ทุกคนอยากได้ ใจนี้มันอยาก เรียกร้องอยากได้มาก อยากได้มาก แต่เวลาท่านยื่นให้ รับไม่ได้ รับไม่เป็น เพราะจิตใจที่ไม่เหมือนกัน จิตใจสิ่งที่ยื่นมามันมีคุณค่าทั้งนั้น

แต่ทางโลกนะ มองมุมกลับไง ถ้ามองมุมกลับ ถ้าจะยื่นให้ก็ต้องบอกสิว่าลูกศิษย์คนนี้ลูกศิษย์ชั้นเลิศ ลูกศิษย์องค์นี้จะเป็นพระอรหันต์ในวันพรุ่งนี้ องค์นี้หรือองค์นี้กำลังลอยมาจากฟ้า...มันอยากได้อย่างนั้น มันอยากได้แต่คำสรรเสริญนินทา มันอยากได้แต่คำยกย่องสรรเสริญ มันอยากได้อย่างนั้น แต่ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้หรอก

ท่านให้แต่สติ ท่านให้แต่เตือนสติ ให้แต่สิ่งที่ให้เราย้อนกลับมาที่ใจของเรา เพราะมันจะเกิดที่นั่น มันจะเกิดที่นั่น มันจะเกิดที่จิตที่ล้มลุกคลุกคลาน จิตที่ทุกข์ยากนั่นน่ะ มันจะสร้างตัวมันขึ้นมา มันจะเป็นปัจจัตตัง มันจะเป็นสันทิฏฐิโก มันจะเกิดจากจิตดวงนั้น

แต่เวลาจิตเราเสื่อม เราก็เร่าร้อน เราก็รุ่มร้อน เราก็ทุกข์ของเรา เห็นไหม ทุกข์ขนาดไหนนะ มันทุกข์เติมทุกข์ ทุกข์ซ้ำซาก แต่ทุกข์แล้วเราก็วาง เพราะจิตนี้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ มันก็เป็นแบบนี้ มันเป็นแบบนี้จริงๆ แล้วขณะที่เรามีอำนาจวาสนา เราทำขึ้นมา เราจะทำของเราขึ้นมา แล้วมันมีสิ่งนี้มา มันมาฉุดกระชาก

เวลาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มันก็เป็นคนที่ไม่เคยรู้เคยเห็น มันก็ไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา จนมันมีกำลังขึ้นมาแล้วมันเสื่อมไป นี่มันรู้มันเห็นแล้ว สิ่งที่ไม่รู้ไม่เห็นมันก็ไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบ มันก็ไม่กังวลกับมันจนเกินไป สิ่งที่คนเคยมีเคยเป็นขึ้นมาแล้วมันเสื่อมไป กระวนกระวายน่าดูเลย ตัดสิ่งนี้ซะ อย่าให้กิเลสเป็นหนอน อย่าให้มันเผาพลาญเรา แล้วเราพยายามตั้งสติของเรา

พัฒนาไป มันต้องมาได้ เพราะก่อนหน้านั้นเราก็ทำขึ้นมาได้ ถ้าทำขึ้นมาได้ สู้มัน ตั้งใจแล้วพยายามกระทำ ถ้าตั้งใจแล้วพยายามกระทำ พัฒนาขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มีมรรคเท่านั้น ทางอันเอก มัคโค ทางอันเอกที่เขาชำระล้างกิเลส พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ นี่ปัญญามันเกิด พอปัญญามันเกิด ล้มลุกคลุกคลาน ขาดสมาธิก็ทำสมาธิให้มั่นคงขึ้น ถ้าสมาธิแล้วมานอนจมอยู่ก็ฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา นี่มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดี ระหว่างสมาธิกับระหว่างปัญญามันจะก้าวเดินอย่างไรต่อไปของมัน แล้วก้าวเดิน พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก

เวลามันเสื่อมก็ล้มลุกคลุกคลาน เวลามันไม่ได้ผลขึ้นมา สิ่งที่กิเลสมันซ้ำเติม ก็บอกว่าสิ่งนี้เราทำแล้วไม่ได้ เราทำแล้วเรามีความผิดพลาดตลอดเวลา นี่กิเลสมันซ้ำเติม เราพยายามใช้ปัญญาแยกแยะของมันมา สร้างความมั่นคงของเรา แล้วใช้ปัญญาของเราไป นี่ตรงนี้ทางออก

ถ้ามันมัชฌิมาปฏิปทาไง ความเป็นจริง ความสมดุลของมัน แล้วเวลาถึงที่สุด เวลาพิจารณาไปนะ เวลาตทังคปทานมันปล่อย ตทังคปหานมันปล่อยชั่วคราวๆ ความปล่อยอย่างนี้ก็เป็นการฝึกหัด ฝึกหัดหาประสบการณ์ มันปล่อยมากปล่อยน้อยก็แล้วแต่ มันสมดุลขนาดไหน มันเป็นความจริงขนาดไหน พิจารณา

พิจารณากาย เวลากายมันเกิดขึ้น ถ้าจิตมันมีกำลังนะ ให้มันขยายส่วน ให้มันแปรสภาพให้ดู มันแปรสภาพไปเลย เวลาดู ถ้ามันแปรสภาพไม่ได้ มันแปรสภาพ ดูทีแรกมันปล่อยนะ โอ้โฮ! มันฝังใจๆ แล้วจะเอาอีกๆ จะเอาอีก เห็นไหม พิจารณาซ้ำๆ ไปน่ะ มันไม่ไปแล้ว มันไม่ไป มันไม่ไป ทำอย่างไรล่ะ? กลับ วางเลยๆ กลับมาทำความสงบของใจให้มากขึ้น พอจิตมันมีกำลังขึ้นมา มันก็จับกายขึ้นมาใหม่ พิจารณาซ้ำเข้าไปอีก

ถ้ามันจะแปรสภาพ อย่าใช้สัญญาของเรา มันเคยเป็นแบบนี้ จะให้มันเป็นแบบนี้...ไม่ใช่ ไม่มีสิ่งใดซ้ำสอง มันจะเป็นอย่างใดให้มันเป็นในปัจจุบันนั้น มันเป็นปัจจุบันนั้นคือสิ่งที่นึกไม่ได้ คาดไม่ถึง แต่ถ้าเป็นนึกได้ คาดถึง นั้นคือสัญญา เวลาพิจารณาไปแล้ว เราไม่มีหน้าที่จะบอกว่าให้กายมันแปรสภาพอย่างใด ให้สิ่งที่มันจะเห็นข้างหน้า ให้เราเข้าใจอย่างใด ถ้าบอกให้เข้าใจ ดักหน้า ดักหลัง นั้นเป็นอดีตอนาคต เป็นไปไม่ได้

เวลาจิตสงบแล้วจับขึ้นมาพิจารณาไปด้วยกำลังของเรา มันจะเป็นอะไรก็เป็นต่อหน้า มันจะย่อยสลายอย่างไรก็ย่อยต่อหน้า มันจะกลับคืนไปสู่สถานะเดิมของมันก็เป็นต่อหน้า พอเป็นต่อหน้ามันก็ปล่อย มันก็ปล่อย ซ้ำๆ ของมันอยู่อย่างนั้น นี่พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม เหมือนกัน แต่วิธีการต่างกัน

เพราะพิจารณากายเป็นรูปธรรมที่รู้เห็นได้ง่าย ถ้าพิจารณาธรรม ธรรมคือความรู้สึกนึกคิด คือความเป็นปมในใจ ปมในใจสิ่งใดที่มันฝังใจๆ ปมนั้นน่ะ ถ้ามีปัญญา จับได้ มันแยกแยะได้ แต่ถ้าสมาธิมันอ่อนนะ จับแล้วมันเป็นกิเลสเลยล่ะ ปมในใจน่ะ เพราะปมในใจมันเป็นกิเลสที่มันผูก มันฝังใจใช่ไหม ถ้าสมาธิมันอ่อน สมาธิมันไม่มีกำลังนะ ปมอันนั้นมันคิดจนเป็นโลกไปเลย จนเป็นเรื่องอารมณ์ จนเป็นเรื่องความรู้สึก จนเป็นเรื่องที่คิดแล้วน้ำตาไหล

แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ ถ้ามีสติมีกำลังของมันนะ มันคิดแล้วมันเห็นโทษ เห็นโทษนะ คิดซ้ำคิดซาก พอคิดแล้วมันปล่อย ปล่อย สุขมาก! ไอ้ปมที่ในใจ ไอ้ปมที่มันฝังใจมันปล่อยได้น่ะ ของที่มันอยู่กับเรา ทำไมมันปล่อยได้ล่ะ มันปล่อย มันพิจารณาซ้ำๆๆ ไป พิจารณาของมัน นี่คือการฝึกหัดใช้ปัญญา แล้วปัญญาอย่างนี้พอมันเกิดขึ้นมา นี่ภาวนามยปัญญา

เราจะเห็นชัดเจนมาก ระหว่างภาวนามยปัญญากับโลกียปัญญา ชัดเจน ถ้าภาวนาขึ้นไปแล้วมันจะชัดเจนของมัน มันถึงจะรู้ได้ไง

นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ท่านรู้ท่านเห็นของท่านไง ท่านรู้ท่านเห็นของท่าน มันมีเนื้อมีหนังขึ้นมา มันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา การจิตสงบมันสงบอย่างไร เวลาออกใช้ปัญญา ปัญญาอย่างไร มันเป็นขั้นเป็นตอน แล้วคนไม่รู้พูดไม่ได้หรอก แม้แต่คนที่ปฏิบัติไปถามปัญหาน่ะ บอกให้พูดให้เข้าใจๆ มันเข้าใจไม่ได้หรอก แต่ถ้าคนเป็น คนเป็นนะ พูดนี่รู้ทันทีเลย ถ้ารู้ทันทีเลยนะ

เราซ้ำของเรา เราพิจารณาของเราบ่อยครั้งเข้าๆ ถึงเวลาที่สุดแล้วมันขาด! ถ้าพิจารณากาย กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันขาดเลย พอขาดขึ้นไป ขาดกับไม่ขาดต่างกันอย่างไร เวลาตทังคปหานมันปล่อยแล้ว ปล่อยแล้วมันก็มีปมในใจ ปล่อยอย่างไรมันก็มี เพราะสังโยชน์ก็คือสังโยชน์ไง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ ๓ ถ้าสังโยชน์ ๓ มันมีอยู่ ปล่อยอย่างไรมันก็มี ถ้ามันปล่อย มันมีแน่นอน ปล่อยก็มี

เพราะมันมีตทังคปหานกับสมุจเฉทปหาน ตทังคปหานคือมันปล่อยชั่วคราว การปล่อยชั่วคราว ปล่อยแล้วก็คือปล่อย ปล่อยแล้วก็ปล่อยมันไป แล้วก็ต้องฝึกหัดซ้ำต่อไปๆ เพราะการตทังคปหานมันเป็นบาทฐานให้เกิดสมุจเฉทปหาน

ถ้าสมุจเฉทปหานเวลามันขาด มันถอนสังโยชน์เลย เวลาขาดผลัวะ! กุปปธรรม อกุปปธรรม กุปปธรรมคือ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เห็นไหม ว่าสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมะนี้เป็นอนัตตา...อนัตตาเพราะเราฝึกหัดนี่ไง อนัตตาเป็นทฤษฎีไง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าคนเราเกิดมามีตัวตน มีอัตตา เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนด้วยอนัตตา เหมือนทางการแพทย์ เขาให้ยา ยาเคมีให้เพื่อรักษาโรค ให้มันมีปฏิกิริยาทางเคมี การให้ยากับการรักษาโรค นี่มันก็เป็นอนัตตา โรคมันมีใช่ไหม เวลาให้ยาไปแล้ว ยาไปกำจัดโรคนั้นใช่ไหม พอยานั้นกำจัดโรค นี่ไง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันต้องเป็นอนัตตาแน่นอน ถ้าไม่เป็นอนัตตา โรคมันก็ไม่หายน่ะสิ ถ้าโรคมันหาย มันก็ต้องเป็นอนัตตาสิ มันต้องมีปฏิกิริยาของมันไง ปฏิกิริยาที่มันแปรสภาพคืออนัตตาไง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา นี่กุปปธรรม

แล้วอกุปปธรรมล่ะ สิ่งที่เป็นธรรมจริง นั่นล่ะธรรมแท้ๆ ไง ถ้ามันเป็นธรรมจริงขึ้นมา กุปปธรรม อกุปปธรรม...อกุปปธรรม อฐานะที่จะแปรสภาพ เพราะถ้ามันขาด มันจะเป็นแบบนั้น แล้วเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เป็นแบบนั้นเพราะมันเป็นปัจจัตตัง มันรู้ขึ้นมาท่ามกลาง เพราะมันเป็นธรรม

เวลาทองวางต่อหน้า ทองกับตะกั่ว รู้ได้ไหม ตะกั่วก็เห็นอยู่แล้ว มันขาวๆ ทองมันเหลืองๆ ทองแท้ๆ ไม่ใช่ขี้นะ ถ้าขี้นั้นมันเป็นกิเลสเป็นหนอน ถ้าขี้ กิเลสเป็นหนอนเลย

“โอ้! ปฏิบัติแล้วมันขาดนะ เหลืองๆ มีกลิ่นด้วย กลิ่นตุๆ เลย” นั่นมันขาดปลอมไง เวลากิเลส กิเลสมันหลอกนะ เวลากิเลสมันหลอก กิเลสเป็นหนอน มันสร้างภาพ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมาเพื่อสัจจะความจริง ระหว่างตะกั่วกับทอง เราก็รู้ได้ นี่สมุจเฉทปหาน แต่ถ้ามันกิเลสเป็นหนอนนะ “โอ้! ทองของฉันมันกลิ่น นิ่มๆ น่ะ มันลอยน้ำได้ด้วย” แต่ถ้าทองมันไม่ลอยน้ำหรอก มันจม แต่ถ้าเป็นทองของกิเลสนะ เป็นกิเลสเป็นหนอนนะ มันลอยน้ำได้น่ะ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านฟัง ท่านรู้ อะไรเป็นจริง อะไรไม่เป็นจริง ถ้าอะไรเป็นจริงไม่เป็นจริง เวลาเป็นอกุปปธรรมมันเป็นความจริง ความจริงอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากเราประพฤติปฏิบัติกัน ถ้าปฏิบัติแล้วถ้ามันเป็นความจริงนะ สัจธรรม สัจธรรมเกิดกับเรา มันเห็นพื้นฐานหมดไง ถ้าจิตไม่สงบ ใช้ปัญญาอย่างนั้น นั่นน่ะกิเลสเป็นหนอนตั้งแต่เริ่มต้น แล้วถ้าเราวางไว้ แล้วเราทำความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าสงบเข้ามา รู้แล้ว ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา ถ้าสงบเข้ามาก็ว่านี่คือนิพพาน เห็นไหม กิเลสเป็นหนอนทำลายโอกาสของมัน

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ คอยชี้นำเรา เราปฏิบัติของเราต่อๆ เนื่องขึ้นไป จิตสงบแล้วให้มีหลักมีเกณฑ์ เวลามันออกเห็นกิเลส เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง แล้ววิปัสสนาใคร่ครวญมัน จนถึงที่สุดเวลามันขาด เห็นไหม เวลามันปล่อยวางชั่วคราวแล้วมันขาด มันแตกต่าง ความแตกต่างอย่างนี้มันมีอยู่ ถ้าวุฒิภาวะของจิตที่มันพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วเวลาจิตมันขาดแล้ว ถ้าเราทำความสงบให้มากขึ้น มันจะไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมมากขึ้น

ในวงกรรมฐานบอก กายในกาย จิตในจิต ทุกข์ในทุกข์ เวลามันปฏิบัติขึ้นไป มันจะละเอียดขึ้นไป ถ้ามันไม่ละเอียดขึ้นไป มันก็ได้อยู่แค่นี้ เป็นนางวิสาขาที่ได้อยู่แค่นี้ แต่พระอานนท์ท่านก็ได้เป็นพระโสดาบันเหมือนกัน อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ท่านปรารถนาถึงที่สุดแห่งทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้เลย “อานนท์ ต่อไปเรานิพพานแล้ว อีก ๓ เดือน จะมีสังคายนา เธอจะเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”

นี่ไง ทำๆ ต่อเนื่องไป ถ้าจิตมันพิจารณาแล้ว เวลามันขาดแล้ว เราภาวนาต่อเนื่องของเราไป ถ้าจิตมันสงบนะ มันก็เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมที่ละเอียดขึ้น ถ้าที่ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้นเพราะอะไร ละเอียดขึ้นเพราะกิเลสมันละเอียดขึ้นแล้ว หลานมันได้ฆ่าไปแล้ว ต่อไปจะไปเจอลูกมัน ถ้าเจอลูกมันนะ ถ้าพิจารณาได้นะ เวลาคนพิจารณาไปแล้ว เวลามันขาดนะ เดินไปไม่เป็น ทำอะไรต่อเนื่องไม่ได้ นี่มันอยู่ที่อำนาจวาสนา อำนาจของจิตดวงนั้น

ถ้าจิตดวงนั้นนะ เวลาภาวนาต่อเนื่องไปๆ นี่เวลาคนที่มีอำนาจวาสนา หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาของท่าน จนถึงขั้นที่ว่าพิจารณาอสุภะจนสิ้นสุดไปแล้ว แล้วห่วงหมู่คณะ กลับไปภาคอีสาน ไปชี้นำให้กับกองทัพธรรมๆ ลูกศิษย์ลูกหาของท่าน เวลาท่านต้องใช้ปัญญาของท่าน ท่านยังบอกว่า “กำลังไม่พอๆ” เห็นไหม กำลังไม่พอ ท่านกลับขึ้นไปเชียงใหม่ กลับขึ้นไปทางเหนือ ภาคเหนือ แล้วท่านปฏิบัติของท่านจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ กลับมาสอนเลย “ใครมีอะไรบอกมา ใครมีความสงสัยมา จิตแก้ยากนะ จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้นะๆ” นี่เพราะอะไร เพราะท่านขวนขวายของท่าน ท่านทำของท่าน

ถ้าจิตของเราถ้ามันสมุจเฉทปหาน แล้วทำๆ ต่อเนื่องขึ้นไป ทำต่อเนื่องขึ้นไป จิตมันสงบเข้าไป มันจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมอันละเอียดขึ้น ถ้าละเอียดขึ้น ถ้าพิจารณากาย พิจารณากายให้เป็นธรรมนะ ถ้าพิจารณากายขึ้นไปแล้ว ถ้ามันพิจารณาของเรา ระหว่างพิจารณา ถ้าจิตมันสงบแล้ว จิตมันได้พิจารณาแล้ว มันเป็นอกุปปธรรมได้ชั้นหนึ่ง มันมีความรู้อันนี้ฝังใจแล้ว

พอมันฝังใจ เวลาเราพิจารณาของเรา ถ้ามันล้มลุกคลุกคลาน ถ้ามันพิจารณาแล้วมันไม่ตทังปหาน ไม่สมุจเฉทปหาน มันดึงไป มันดึงเพราะกำลังสติสมาธิมันอ่อน เราก็ต้องสร้างขึ้นๆ มันเป็นบาทฐานในการปฏิบัติที่มันล้มลุกคลุกคลานมา จนมันสมุจเฉทปหาน มันเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมคือธรรมแท้ๆ ทองคำทั้งแท่ง ทองคำจริงๆ อยู่กับหัวใจ ใครจะติฉินนินทา ใครจะเชื่อไม่เชื่อ นั่นมันเรื่องของเขา สิ่งนี้มันเป็นบาทเป็นฐาน

เวลามันพิจารณา เวลาจิตทำให้มันสงบมากขึ้น พอมันเห็นกายเห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมอันละเอียดขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป ในเมื่อมันเป็นลูกแล้ว มันไม่ใช่หลาน หลานมันไร้เดียงสา มันไร้เดียงสานัก มันอนุบาลนัก เรายังต่อสู้มันมาขนาดนั้น แล้วนี่เป็นลูกของมัน กำลังต้องมีมากขึ้น เพราะกิเลสมันละเอียดขึ้น กิเลสมันก็ต้องมีพลิกแพลงมากขึ้น การพลิกแพลงมากขึ้น สติปัญญามันก็ต้องต่อสู้กันด้วยความเข้มแข็ง นี่ด้วยสติปัญญา ด้วยความเข้มแข็ง แต่มันมีพื้นฐานจากการปฏิบัติภาวนาเป็น ภาวนาเป็นขึ้นมา มันก็แยกแยะของมัน ถ้าแยกแยะของมัน พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ นี่พิจารณาของมัน

โดยหลัก อริยสัจมันอันเดียวกัน เวลาเราสมุจเฉทปหาน เราก็รู้เราก็เห็นอยู่แล้ว เวลาเราพิจารณาขึ้นไป แต่ถ้ากิเลสอันละเอียดกว่า มันพลิกแพลงได้มากกว่า มันพลิกแพลงได้มากกว่า มันหลอกลวงได้มากกว่า จิตใจก็ล้มลุกคลุกคลานได้มากกว่า

มันเหมือนกัน อริยสัจอันเดียวกัน แต่ความหยาบความละเอียดมันแตกต่างกัน

ถ้ามันไม่แตกต่างกัน ทำไมกามราคะ ปฏิฆะมันอ่อนลงล่ะ นี่มันแตกต่างกันเพราะว่าโรคมันแตกต่างกัน มันแตกต่างกันเพราะว่าความละเอียดลึกซึ้งมันแตกต่างกัน ความแตกต่างกัน ผลตอบสนองมันแตกต่างกัน มันแตกต่างกันทั้งนั้นน่ะ

เวลาพิจารณาเข้าไป เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ ไง โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิมรรค มันพิจารณาของมัน มันแยกแยะของมัน พิจารณาของมันไป ถ้ากำลังมันมี เพราะมันมีพื้นฐาน มันก็ปล่อย ปล่อยซ้ำปล่อยซากนะ แล้วไม่ปล่อยธรรมดาด้วย ปล่อยแล้วกิเลสเป็นหนอนเลย มันหลอกเลย “นี่เป็นผลแล้วล่ะ” ถ้าเป็นผลนะ มันก้าวเดินไปไม่ได้เลย ก้าวเดินไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันขวางอยู่ ลูกมันยังขวางอยู่ จะไปฆ่าพ่อมันไม่ได้ กว่าจะไปฆ่าพ่อมัน ต้องทำลายลูกมันให้ได้ ทำลายกิเลสอันนี้ให้ได้ ถ้าทำลายถึงตรงนี้ได้มันจะผ่านเข้าไปสู่กิเลสที่ละเอียดลึกขึ้น

ถ้ามันผ่านไม่ได้ มันหลอกลวง มันพลิกแพลงว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ เราตั้งสติตั้งปัญญาแยกแยะของมันให้ได้ ด้วยความรอบคอบ ด้วยความรอบคอบของเรานะ เวลามันสมุจเฉทปหานนะ โลกนี้ว่างหมดเลย มันปล่อย ปล่อย ขาดหมด ระหว่างกายกับใจแยกออกจากกัน ชัดๆ ชัดๆ! รวมลงเลย นี่มันมีขั้นตอนของมัน พอมันมีขึ้นตอนของมัน นี่ไง อกุปปธรรมๆ ไง

อกุปปธรรมครั้งแรก อกุปปธรรมต่อเนื่องกันไป มันไม่เหมือนกัน มันแตกต่างกัน ผลก็แตกต่าง เหตุก็แตกต่าง ทุกอย่างแตกต่างหมด เวลามันแยกหมด กายกับจิตแยกออกจากกันด้วยมรรคญาณนะ ด้วยสัจความจริงนะ นี่มีความสุขมาก ความสุขๆ ในการปฏิบัติมีความสุข ความสุขอย่างนี้มันจะทำให้คนติดได้ไง ความสุขอย่างนี้ทำให้เรานอนใจได้ไง ถ้านอนใจได้นะ

ถ้าเรามีสติปัญญา มรรค ๔ ผล ๔ ไอ้มันแค่ ๒ ยังไม่ ๔ เลย มันถึงจะออกไปค้นหา การออกค้นหานี้ยากมาก ความยากมาก เพราะในเมื่อกิเลสมันพลาดพลั้ง มันเสียหลานเสียลูกไปแล้ว พ่อของมันรู้ตัวแล้ว เขาจะเข้ามาสู่ตัวของพ่อคืออสุภะ ถ้าเข้ามาสู่พ่อ มันจะพลิกแพลง มันจะหลบเลี่ยงอยู่แล้ว มันถึงมีเล่ห์กลมหาศาล

ทีนี้เล่ห์กลมหาศาล การขุดคุ้ย เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีครูบาอาจารย์นะ เวลาท่านปรึกษาครูบาอาจารย์ ท่านพยายามจะหาทางเข้าไปสู่สัจจะ สู่อริยสัจ เพื่อเข้าไปสู่หัวใจ เพื่อจะเข้าไปหาพ่อของมัน ถ้าเข้าไปหาพ่อของมันนะ ต้องเห็นกิเลส ต้องรู้จักกิเลส ต้องเห็นพ่อ ต้องเห็นหน้ากิเลส มันถึงจะได้พิสูจน์ตรวจสอบกันได้

ถ้าเราไม่เห็นหน้ากิเลส ว่าพิจารณาอสุภะๆ สัญญาอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าจิตมันทำความสงบให้มากขึ้น มันจะเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้ว ขั้นของมหาสติมหาปัญญา เพราะมันจะละเอียดลึกซึ้ง

จากเดิม เห็นไหม ดูสิ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ นี่ปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณเสวยอารมณ์ออกมามันก็เป็นขันธ์ พอมันเป็นขันธ์ขึ้นมา มันก็ต่อเนื่องกันมา แล้วทีนี้มันตัด เห็นไหม ดูสิ พิจารณาเป็นอกุปปธรรม พิจารณากายปล่อยกายตามความเป็นจริง พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ครั้งที่ ๒ กายกับใจแยกออกจากกัน ฉะนั้น กายกับใจแยกออก มันไม่ออกมากาย มันอยู่ที่ใจแล้ว พออยู่ที่ใจ นี่ไง ที่ว่าขันธ์ ๕ อันละเอียด ข้อมูลอันละเอียด ปฏิฆะ กามราคะอันละเอียดมันอยู่ที่ใจ มันอยู่ที่ใจ มันไม่ได้อยู่ที่สมอง อยู่ที่รูปร่างหน้าตา อยู่ที่เนื้อหนังมังสา ไม่ใช่เลย

กามราคะมันอยู่ที่ใจ มันไม่ใช่อยู่ที่รูปร่างหน้าตาของใคร ไม่ใช่! มันอยู่ที่ใจ ใจมันมีกามฉันทะ มันมีความพอใจ มันมีสถานที่ตั้ง มันมีที่เกิด กามมันเกิดตรงนั้น มันมีสถานที่ว่ากามมันจะเกิดตรงนั้น ถ้ามันทำความสงบให้มากขึ้น มันจะเป็นมหาสติมหาปัญญา เพื่อเข้าไปดูหน้ามัน เข้าไปดูหน้ามันก็จะเข้าไปจอมทัพ จะไปเจอพ่อ เป็นแม่ทัพ

ถ้าเข้าไป สิ่งที่เข้าไป การจับอย่างนี้ การจับอย่างนี้มันจับอยากมาก การขุดคุ้ยหา แต่วิธีการ แล้วถ้าเข้าไปจับได้ด้วยมหาสติมหาปัญญา ด้วยมหาสติมหาปัญญามันจับต้องได้ เห็นไหม เล่ห์กลของมันอีกมหาศาลจับต้องได้ก็มีการพิจารณากัน จับต้องได้ มันก็ระหว่างกิเลสกับธรรมได้ต่อสู้กัน

ถ้ามันจับต้องไม่ได้ กิเลส มันไม่เห็นตัวมัน มันก็หลบหลีก เราก็ว่าเรามีกำลัง เราเป็นคนที่เป็นนักภาวนา ถ้าเราเจอกิเลส เราจะต่อสู้กับมัน ถ้าเจอกิเลสเมื่อไหร่เราก็จะใช้ปัญญาของเรา...นี่ด้วยความคิดโดยที่ยังไม่เจอหน้ามันน่ะ

แต่พอไปเจอหน้ามันเข้า งงนะ มันพลิกแพลงนะ อ้าว! ก็เราเป็นพวกเดียวกันไม่ใช่หรอ เราก็เป็นธรรมะด้วยกัน กิเลสเป็นหนอนไง อย่างนี้มันก็เป็นธรรม รู้เท่ามันก็จบไง เวลารู้เท่าแล้วมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา ถ้ารู้เท่าก็ไม่มีอสุภะ อสุภะมันจะอยู่ที่ไหน อสุภะมันไม่มี เราเป็นธรรมด้วยกัน...กิเลสเป็นหนอน ไปไม่รอดหรอก

แต่ถ้ามันเป็นความจริง พอจับขึ้นมามันจะเป็นอย่างไร ปัญญามันจะแหลมคม มันจะกล้าขึ้น ถ้าปัญญาแหลมคมขึ้นมา มันจะแยกแยะของมัน ถ้ามันเป็นธรรม ทำไมไม่มีสิ่งใดบอกเหตุ ไม่มีสิ่งใดบอกเหตุว่าเป็นธรรมขึ้นมาเลย มันเป็นธรรมมาตรงไหน เป็นธรรมที่มันอ้างขึ้นมาใช่ไหม เป็นธรรมที่กิเลสมันจะครอบงำใช่ไหม เป็นธรรมอย่างนี้เหรอ นี่มันพลิกแพลง

ถ้ารู้เท่าขึ้นมาก็ใช้มหาสติมหาปัญญา มหาปัญญานะ ปัญญาอันใหญ่ ปัญญาอันแรงกล้า ปัญญาอย่างกล้ามันก็เข้าไปตรวจสอบไง ไปตรวจสอบภวาสวะ ตรวจสอบจิตดวงนี้ พอไปตรวจสอบขึ้นมา พอกิเลสมันรู้ว่าธรรมมีกำลังขึ้นมานะ มันก็หลบ มันก็หลีก มันก็สร้าง โอ๋ย! ร้อยแปด! เล่ห์กลของมันน่ะ เล่ห์กลของมันมหาศาลเลย

ถ้าเล่ห์กลของมันขนาดนั้น ถ้าไม่เล่ห์กล ทำไมจิตทุกดวงใจถึงเป็นที่อยู่ของพญามาร ทุกดวงใจ มารมันครอบงำหมด แล้วมันภูมิใจมาก จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา รื้อสัตว์ขนสัตว์แสดงธรรมขึ้นมา มารดลใจตลอด “ตถาคต นิพพานเถิด ไปขวนขวายทำไม เรื่องโลกๆ ตถาคตมีคุณธรรม ตถาคตก็นิพพานไป สัตว์โลกก็ไว้อย่างนั้น”

นี่ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเท่านั้นถึงได้เห็นหน้ามาร ถึงรู้จักมาร ถึงรู้จักอวิชชา ถึงรู้จักกิเลส คำว่า “กิเลส” กิเลสก็เกิดขึ้นจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา ให้สิ่งนั้น พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา เราก็เขียนกิเลสเหมือนกัน แต่เราคิดไปอีกเรื่องหนึ่งไง เราไปสร้างว่ากิเลสมันเป็นอย่างนั้น กิเลสมันเป็นอารมณ์อย่างนี้ กิเลสอย่างนั้น นั่นน่ะกิเลสเป็นหนอน เพราะมันทำลายมันไง ทำลายความเพียรอันนั้นไง เพราะกิเลสมันเป็นหนอน

แต่ถ้ามันเป็นธรรมล่ะ เห็นไหม เกลือเป็นเกลือสิ ไม่ใช่เกลือเป็นหนอน ถ้าเกลือเป็นเกลือก็ศีล สมาธิ ปัญญาไง มรรคญาณมันเป็นความจริงไง ถ้าความเป็นจริงขึ้นมา เราก็ต้องต่อสู้ ต้องแยกแยะไง

ดูสิ วุฒิภาวะของใจตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาจนมีวุฒิภาวะ อกุปปธรรมๆ ขึ้นมา จนกำลังต่อสู้กับอสุภะ กับพ่อของมัน กับพ่อ กับลูกของพญามาร ลูกมันก็มีลูกมีหลาน นี่กับพ่อ จากพ่อเดี๋ยวมันจะเข้าไปหาปู่ ปู่มันสร้างภาพขึ้นมา เห็นไหม เราพิจารณาซ้ำๆ ด้วยสติ...ยากมาก ยากมากเพราะกิเลสมันละเอียดมาก

ถ้ากิเลสละเอียดมาก มันต่อสู้กันนะ ๗ วัน ๗ คืน ๗ เดือน ๗ ปี ซัดกันเต็มที่ล่ะ เวลาจะสู้กับกิเลส มันมีงานทำนะ คนเราถ้ามีงานทำ พิจารณาอย่างไรก็แล้วแต่ งานมันอยู่กับเรา คนมีงานทำ มันเพลิดเพลินกับงาน ถ้าคนไม่มีงานทำมันก็เหงา มันก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วเวลาถ้าสติมันยังไม่พอ กิเลสมันก็กลับมาหลอกอีก ทั้งหลอก ทั้งสร้างภาพ ทั้งทำให้เฉไฉ ร้อยแปด มันบอกว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ ทั้งนั้นน่ะ

ทำขนาดไหน พิจารณาซ้ำให้ละเอียดขึ้นไป ละเอียดนะ มหาสติมหาปัญญาต้องละเอียดมาก อยู่กับใครไม่ได้ล่ะ ต้องพิจารณาละเอียดลึกซึ้ง ถ้ามันปล่อย ปล่อยอย่างไร ถ้าอยู่อยู่อย่างไร ไล่กันอยู่อย่างนั้นน่ะ จนมันชำนาญมากเข้าๆ

ความที่ขณะพิจารณาเองในขณะนั้น เราวางระยะห่าง ระยะห่างหมายถึงว่าเวลาเราพิจารณาเข้าไม่ถึงสู่สถานที่ตั้งของมัน มันก็ยังมีการต่อสู้กันมาตลอด ละเอียดเข้าไปๆ จนถึงที่สุด เพราะโดยสัญชาตญาณของคน ความรู้สึกนึกคิด ปัญญา สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งที่เป็นปัญญาๆ ที่มีสมาธิรองรับ มีมหาสติมหาปัญญารองรับ มันจะละเอียดเข้าไป ถึงที่สุดแล้วมันกลืนเข้าไป ละเอียดเข้าไปจนเป็นจุดที่เกิดที่ดับอันเดียวกัน จนถึงที่จิตอันนั้น

แล้วถ้าถึงที่จิตอันนั้น พอมรรคสามัคคี มันทำลายกันนะ มันพลิกฟ้าคว่ำดิน มันสะเทือนหัวใจมาก นี่เวลามันขาด เวลามันขาดนะ พอขาดเข้าไป มันไม่ใช่กิเลสเป็นหนอน มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นความจริง ความจริงที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจดวงนี้ เกิดจากจิตดวงนี้ที่ขยันหมั่นเพียร แล้วมีครูมีอาจารย์คอยชี้นำ แล้วเราคอยประพฤติปฏิบัติด้วยความมั่นคงของเรา ด้วยความมั่นคงของเรา

คำว่า “มหาสติ มหาปัญญา” มันมีอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วมหาสติมหาปัญญามันเป็นขึ้นมาท่ามกลางหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้มันเป็นมหาสติ มันเป็นมหาปัญญา มันมีปัญญาใหญ่โตที่สามารถทำลายแม่ทัพ แม่ทัพคือกามราคะในหัวใจใจดวงนั้น มันมหัศจรรย์ขนาดไหน พอมันทำลายใจดวงนั้น มันครืนลงนะ นั้นเป็นอกุปปธรรม นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีการเสื่อมสลาย มันจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ แต่มันมีส่วนเหลือ ส่วนเหลือที่เหลืออยู่ พิจารณาซ้ำเข้าไปๆ เศษส่วนที่เหลือ สิ่งที่เหลือ จนเข้าไป จนเข้าไปสู่ความว่างทั้งหมด เพราะมันทำลายหัวใจใช่ไหม พอมันทำลายมันก็ว่าสิ่งใดไม่มีเลย ไม่มีสิ่งใดอีกแล้ว

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” ความผ่องใสคือสสาร สสารนั้นมันจะมีสองอีกไหม สสารนั้นไม่กระทบกับสิ่งใดมันก็มีของมันอยู่หนึ่งเดียว จิตเดิมแท้มันก็มีของมันอยู่อันเดียว ถ้ามันมีของมันอยู่อันเดียว มันจะเกิดสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อมันเกิดความคิด ความปรุง ความแต่งขึ้นมาไม่ได้ แล้วมันจะทำลาย มันจะรู้เท่าตัวมันเองได้อย่างไร เห็นไหม ถ้ากิเลสเป็นหนอนอย่างละเอียด มันจะเข้าไปสู่จิตเดิมแท้นี้ไม่ได้

ถ้าจะเข้าไปสู่จิตเดิมแท้นี้ได้ มันต้องเป็นอรหัตตมรรค อรหัตตมรรคมันละเอียดอ่อน มันเป็นปัญญาญาณ มันเป็นญาณหยั่งรู้ มันไม่ใช่สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง สิ่งที่เป็นสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง นี้มันเป็นเรื่องของขันธ์ มันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณของมนุษย์

สิ่งที่มันมีของมัน เห็นไหม สิ่งที่มีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาสิ่งนี้เข้าไปชำระล้างกิเลสด้วยมรรค ด้วยมรรคคือเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มันเป็นขันธมาร เป็นขันธ์ที่เป็นธรรม แล้วเข้าไปต่อสู้กันจนถึงที่สุด ขันธ์มันก็ปล่อยเป็นชั้นๆๆ เข้ามา แล้วเวลาจะเข้าไปสู่ตัวของมันเอง ถ้าเป็นอรหัตตมรรค มันจะเข้าไปสู่ตัวมันอย่างไร

คนไม่รู้เวลาพูดไปนะ “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเป็นปัจจยาการ มันเป็นเช่นนี้เอง สิ่งนี้มันจะมีสิ่งนี้”...มันก็ว่ากันไป ว่ากันไปเป็นนกแก้วนกขุนทอง กิเลสเป็นหนอน กิเลสทั้งนั้น!

แต่ถ้ามันเป็นความจริงของมันนะ มันจะละเอียดอ่อนของมันเข้ามา ถึงที่สุดของมัน มันจะจับตัวของมันได้ มันเป็นคำว่า “ญาณหยั่งรู้” มันไม่ใช่สังขาร เพราะถ้ามันเป็นอรหัตตมรรคมันจะเข้าไปจับ ถ้าจับได้

ถ้าคิด มันก็หลุดออกมาข้างนอก ถ้าใช้ปัญญามันก็ล้มลุกคลุกคลาน แล้วจะทำอย่างไร จะทำอย่างไร มันหมุน มันอยู่ในตัวของมันเอง หนึ่งกับหนึ่ง หนึ่งอยู่ในหนึ่งนั้น ความเป็นหนึ่งอยู่ในความเป็นหนึ่งนั้น แล้วความเป็นหนึ่งนั้นสมดุลของมัน แล้วย่อยสลายตัวของมันเอง

“ถ้าย่อยสลายตัวของมันเอง มันก็เป็นของมันเองอยู่แล้ว ทำไมต้องไปปฏิบัติล่ะ สรรพสิ่งในโลกนี้มันมีอยู่แล้วมันก็เสื่อมสภาพไปธรรมดา แล้วทำไมต้องไปเห็นล่ะ ก็มันเสื่อมสภาพอยู่แล้ว”...เสื่อมสภาพเป็นของใคร ใครรู้ใครเห็นล่ะ เสื่อมสภาพของใคร ถ้ามันทำลาย มันทำลายของมันอย่างไร

ถ้ามันทำลายได้ เพราะมันทำลายได้ถึงที่สุด ทำลายภวาสวะ ทำลายจิตหนึ่ง ทำลายทั้งหมด ทำลายทั้งหมดแล้วนะ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ เห็นไหม พอมันผ่านพ้นไปแล้ว ผ่านพ้นไปแล้ว สิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว นั่นวิมุตติสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมที่นี่ ทีนี่! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสที่นี่ แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ให้เราก้าวเดินตามมา

ถ้าไม่ให้กิเลสเป็นหนอน ไม่หลอกไม่ลวง ไม่ชี้ไม่แนะให้เราไขว้เขว เราปฏิบัติของเราด้วยตามความเป็นจริงของเรา เราปฏิบัติตามความเป็นจริงของเราด้วยความวิริยะ ด้วยความอุตสาหะ ไม่สุดวิสัยของลูกศิษย์กรรมฐาน เอวัง